การเปลี่ยนแปลงและความแตกต่างของรอยสักในอดีตกับปัจจุบัน

รอยสักในสมัยโบราณนั้นส่วนใหญ่ไม่ได้มุ่งเน้นเพื่อความสวยงาม แต่จะเน้นในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ ความมีมนตร์ขลังของคาถาอาคม เพราะฉะนั้นลวดลายหรือภาพที่สักลงไปจึงเป็นพวกตัวอักษร อักขระ คาถา หรือที่ชาวไทยเรียกกันว่า ยันต์ ซึ่งให้ความหมายในเชิงของความศักดิ์สิทธิ์และสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ และไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องความงามเป็นประเด็นสำคัญ จากรอยสักเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ในอดีตมาถึงยุคปัจจุบันที่ความหมายของรอยสักเริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นศิลปะมากขึ้น จากรอยสักที่เป็นไปตามประเพณี ความเชื่อ เริ่มกลายมาเป็นงานศิลปะบนร่างกาย เริ่มมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและตอบสนองความต้องการของตัวผู้สักมากขึ้น เริ่มกลายเป็นธุรกิจสร้างรายได้ กลายเป็นแฟชั่นสำหรับวัยรุ่นหนุ่มสาว และมันสามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพในสังคมปัจจุบัน

การสักได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมาก ๆ ในสังคมไทยจนกลายเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบันนี้ คนที่นิยมการสักส่วนใหญ่แล้วจะมีแรงจูงใจที่เกิดจากความต้องการเป็นเหมือนคนอื่นหรือพยายามทำตาม ๆ กันมากกว่า เป็นเหมือนกับแฟชั่นในกลุ่มวัยรุ่นที่มีจุดประสงค์ในการสักเพื่ออยากให้ลวดลายหรือภาพที่ตัวเองชื่นชอบหรือพึงพอใจมาอยู่บนร่างกาย เรียกได้ว่าความสำคัญของการสักนั้นอยู่ที่ลวดลายหรือรูปภาพที่จะสักลงไปนั่นเอง และไม่ว่าจะเป็นเพศใดชายหรือหญิงก็สักกันทั้งนั้น ซึ่งแตกต่างจากในอดีตตรงที่ผู้คนที่นิยมการสักก็เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ความขลังของคาถาอาคม เพื่อทำให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่าง ๆ ผู้คนที่มีรอยสักส่วนใหญ่นั้นจะเป็นพวกทหารที่ต้องออกไปสู่รบหรือเป็นพวกนักเลงหัวไม้ตามท้องถนนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ลวดลายที่สักลงไปบนร่างกายแต่เป็นคาถา มนตร์ขลัง หรืออะไรที่จับต้องไม่ได้มองไม่เห็น จุดประสงค์ของการสักนั้นคือ ความเชื่อและความสบายใจของตัวผู้สักเอง ทัศนคติและวัฒนธรรมของการสักในยุคสมัยปัจจุบันเป็นบรรยากาศของงานศิลปะหรืองานจิตรกรรมมากขึ้น โดยมีจิตรกรคือช่างสักที่จะคอยสร้างสรรค์ผลงานผ่านปลายเข็มและใช้ผิวหนังของมนุษย์เป็นพื้นที่ในการสร้างงานศิลป์ ราวกับว่ารอยสักคือตัวเปลี่ยนผ่านความคิด ความรู้สึกส่วนตัวไปยังพื้นที่สาธารณะ โดยใช้ผิวหนังเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ออกไปคล้ายกับการทำงานศิลปะประเภทหนึ่ง

ถือได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมและประเพณีได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนทัศนคติของคนที่ต่อต้านและรังเกียจการสักเป็นอย่างมาก อย่างเช่นในอดีตการแต่งตัวเปิดเผยสัดส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่เคยเป็นเรื่องส่วนตัวที่ควรปกปิดไว้ให้มิดชิดตามวัฒนธรรมและประเพณีอย่างที่เคยได้รับการสั่งสอนกันมาตั้งแต่อดีต แต่ปัจจุบันได้ถูกตีความหมายใหม่ตามวัฒนธรรมสมัยใหม่ทำให้การเปิดเผยกลายเป็นการแสดงออกถึงความเป็นสมัยใหม่ เป็นเรื่องของความมั่นใจ และได้รับการยอมรับในสังคมมากขึ้น และถ้าหากเรามีรอยสักบนร่างกายก็สามารถเปิดเผยสู่สายตาของสาธารณชนได้อย่างสบายใจและไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาด่าหรือกล่าวให้ร้ายเหมือนสมัยก่อน