ความเป็นมาของ TATTOO งานศิลป์บนเรือนร่างมนุษย์

การสักลายคือการที่คนเราใช้เข็มปลายแหลมไปจุ่มกับน้ำหมึกแล้วจิ้มเข้าไปในผิวหนังเพื่อให้เกิดเป็นจุด เส้น รูปร่าง รูปทรง ไปจนถึง เป็นภาพ คล้ายกับการวาดภาพลงบนร่างกายมนุษย์แต่ใช้อุปกรณ์ สี และวิธีการสักที่แตกต่างกัน รอยสักนั้นมีวิวัฒนาการมาอย่างยาวนาน เมื่อในอดีตสมัยโบราณของไทยนิยมการสักยันต์ลงคาถาอาคมเพื่อให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากศึกสงคราม แต่สมัยนี้คนนิยมการสักในเชิงศิลปะ งานสร้างสรรค์ หรือสัญลักษณ์มากกว่า ปัจจุบันนี้การสักลายหรือ Tattoo นั้นเราสามารถพบเห็นได้ปกติทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีรอยสักตามร่างกาย ร้านสักตามท้องถนนไปจนถึงร้านสักที่มีชื่อเสียง มีช่างฝีมือดี ๆ และราคาในการสักแต่ละครั้งนั้นสูงมาก

จุดกำเนิดของการสักนั้นเริ่มต้นมาจากยุคสมัยไหน ที่ใด หรือจากใครนั้นยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด รู้เพียงแต่ว่ามีนักโบราณคดีบางคนได้สันนิษฐานไว้ว่า น่าจะเริ่มมาจากความบังเอิญในสมัยโบราณมนุษย์นั้นอาจจะเผลอเอาร่างกายของตนเองไปถูกไปโดนกับพวกกิ่งไม้ใบหญ้าที่มีความแหลมคมบาดหรือทิ่มแทงเข้า แล้วก็เกิดเป็นสีหรือแผลเป็นขึ้นมา จึงทำให้มนุษย์เริ่มรู้จักหรือมีความคิดมีไอเดียเกี่ยวกับการสักขึ้นมา การสักลายนั้นได้แพร่ขยายไปทั่วทุกมุมโลก ลักษณะ รูปแบบ หรือลวดลายในการสักก็จะแตกต่างกันออกไปตามพื้นที่ ประเพณี และวัฒนธรรมของประเทศนั้น  ๆ รวมไปถึงวิธีในการสัก อุปกรณ์ที่ใช้ หมึกหรือสี แต่สิ่งที่ไม่แตกต่างกันก็คือจุดประสงค์ในการสัก เพื่อทำให้เกิดลวดลายและการสร้างสีสันบนร่างกายของมนุษย์ ราว ๆ ปี ค.ศ. 1991 มีนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันได้ค้นพบร่างของมนุษย์ที่มีรอยสักตามร่างกายถูกฝั่งอยู่ในธารน้ำแข็งบริเวณประเทศออสเตรียกับอิตาลี ร่างนั้นเป็นเพศชายและสภาพที่พบค่อนข้างจะสมบูรณ์เพราะถูกแช่ไว้ในธารน้ำแข็งที่มีอุณหภูมิหนาวเย็น นักวิชาการและนักโบราณคดีได้นำร่างมาทำการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่าร่างมนุษย์ร่างนี้น่าจะมีอายุอยู่ราว ๆ 5,000 กว่าปี ซึ่งก็เป็นคำตอบได้ว่าการสักนั้นมีมายาวนานกว่า 5,000 ปี ภายหลังได้ตั้งชื่อให้กับร่างกายของชายผู้นี้ตามสถานที่ที่ค้นพบคือเทือกเขา Otzi นั่นเอง จากผลการตรวจสอบรอยสักตามร่างกายพบว่ามีรอยสักทั้งหมด 57 ตำแหน่งบนร่างกาย รอยสักบางตำแหน่งอยู่ในจุดที่ใกล้กับการฝั่งเข็มรักษาโรคและบางตำแหน่งก็อยู่ในจุดที่ไม่สามารถทำการสักด้วยตนเองได้ นักโบราณคดีจึงสันนิษฐานว่าอาจจะมีผู้ที่ทำการสักให้หรือว่าเป็นเหมือนช่างสักในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามการค้นพบร่างกายของชายที่ได้รับชื่อว่า Otzi ได้ทำให้นักโบราณคดีหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแวดวงการสักต้องคิดทบทวนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของการสักใหม่ และมีการคาดเดาใหม่ว่าการสักอาจจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเป็นเวลานาน และในอนาคตอาจจะได้รู้คำตอบหรือเจอหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่าการสักนั้นเริ่มต้นมาจากยุคสมัยไหน พื้นที่ใดในโลก เพื่อจะเป็นคำตอบและตัวการันตีว่ามนุษย์กับศิลปะนั้นอยู่ด้วยกันมายาวนานแค่ไหน